-01.jpg)
การสลับยางรถสำคัญอย่างไร
วันที่เผยแพร่: 15 พ.ค. 2568
การสลับยางรถสำคัญอย่างไร และมีวิธีสลับยางรถที่ถูกต้องอย่างไรบ้าง
การสลับยางรถเป็นการบำรุงรักษาที่ง่ายแต่มีประโยชน์มากต่อรถยนต์ และผู้ขับขี่ เพราะการสลับยางรถอย่างสม่ำเสมอช่วยให้การขับขี่ปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานยางรถให้นานขึ้นได้ ซึ่งบทความนี้จะพามาดูว่ามีวิธีการสลับยางรถอย่างไร และควรสลับยางรถยนต์เมื่อไหร่
Key takeaway
ยางรถยนต์มี 5 ประเภท คือ ยางรถแบบนุ่มเงียบ ออฟโรด สปอร์ต runflat และประหยัดน้ำมัน
การสลับยางรถ คือ การเปลี่ยนตำแหน่งของยางรถยนต์ จากล้อหน้าไปล้อหลัง หรือจากซ้ายไปขวา หรือการทำทั้งสองแบบ เพื่อกระจายการสึกหรอของดอกยางให้สมดุลทั่วทุกล้อ
การสลับยางรถช่วยลดการสึกหรอที่ไม่เท่ากันที่เกิดจากการขับเคลื่อนล้อหน้า ล้อหลัง การเหยียบเบรก หรือการเข้าโค้ง ทำให้ล้อที่ทำงานหนักสามารถเกาะถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการเบรก หรือการเข้าโค้งมีความแม่นยำมากขึ้น
วิธีการสลับยางรถ ทำได้โดยสลับยางล้อหน้า ล้อหลัง สลับยางในรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ยางที่มีดอกยางหมุนทิศเดียว ยางรถที่ยางหน้ากับยางหลังไม่เหมือนกัน และยางอะไหล่
รถยนต์ทั่วไปควรสลับยางรถเมื่อครบ 6 เดือนหรือทุก 10,000 กิโลเมตร แต่สำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ควรสลับยางทุกๆ 4,000 กิโลเมตร และจำเป็นตัองถ่วงล้อทุกครั้งหลังการสลับยาง เพื่อให้ล้อหมุนได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการสึกหรอ ประหยัดน้ำมัน และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
ไขข้อสงสัย ยางรถยนต์ มีกี่ประเภท
ยางรถยนต์นั้นเป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่มีผลต่อการขับขี่ เพราะฉะนั้น จึงควรทำการสลับยางรถเมื่อถึงเวลา เพื่อความปลอดภัย และขยายระยะเวลาการใช้งานให้นานมากขึ้น โดยยางรถยนต์ก็จะมีหลากหลายประเภทให้เลือก ซึ่งจะเหมาะกับการขับขี่แต่ละสไตล์ที่แตกต่างกันไป หากต้องเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถยนต์ และสไตล์การขับขี่ จะช่วยให้ขับรถได้อย่างปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันยางรถยนต์แบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. ยางรถแบบนุ่มเงียบ
ยางประเภทแรกนี้คือยางรถที่ผู้ใช้งานนิยมใช้มากที่สุด เพราะเหมาะสำหรับคนที่ชอบการขับขี่ที่เงียบสงบ นุ่มนวล และไม่มีเสียงรบกวน แต่ก็ยังสามารถยึดเกาะถนนได้ดี ด้วยการออกแบบที่ช่วยลดแรงกระแทก จึงให้ความสบาย และปลอดภัยในการขับขี่ ยิ่งหากมีการสลับยางรถเมื่อถึงเวลาก็ยิ่งจะสามารถขยายเวลาการใช้งานให้นานขึ้นได้ ซึ่งเหมาะกับรถยนต์ที่ใช้งานในเมืองเช่น Audi A3, Honda Civic หรือ BMW Series 3 และยางรถยนต์ยี่ห้อที่มียางนุ่มเงียบดีที่สุด ได้แก่ Deestone, Dunlop หรือ Michelin รุ่น Primacy 4
2. ยางรถออฟโรด
ด้วยการออกแบบดอกยาง และเนื้อยางที่ช่วยให้มีแรงเกาะถนน และการตอบสนองที่ดี ทำให้ยางออฟโรดเหมาะสำหรับคนที่ชอบการขับขี่แบบบุกเบิก ลุยได้ในถนนทุกสภาพพื้นผิว ทั้งร้อน เปียก ขรุขระ หรือลุยโคลน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสบาย และปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งเหมาะกับรถยนต์ประเภท SUV, CUV, หรือ Mitsubishi Triton ที่ใช้งานแบบสมบุกสมบัน ยางออฟโรดมีหลากหลายยี่ห้อ และรุ่นให้เลือก เช่น Yokohama และ Dunlop เป็นต้น
3. ยางรถสปอร์ต
ยางรถยนต์ประเภทนี้ได้มีการพัฒนาไปอีกระดับ ด้วยการออกแบบให้มีการยึดเกาะถนนดีเยี่ยม และการตอบสนองที่แม่นยำ แต่ในขณะเดียวกัน หากได้รับการสลับยางที่ถูกต้องนั้นก็จะยิ่งทำให้ใช้งานได้นานขึ้น ซึ่งเหมาะกับรถยนต์ที่มีสมรรถนะเครื่องยนต์สูง เช่น Mazda 3, Toyota Yaris หรือ BMW M2 Coupe ที่ขับบนถนนเรียบ ซึ่งยางสปอร์ตก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อเช่นกันไม่ว่าจะเป็น Dunlop, Yokohama หรือ Bridgestone
4. ยางรถ RunFlat
ยางรถ RunFlat มาพร้อมกับเทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยให้รถยังสามารถวิ่งได้แม้ว่ายางจะรั่วซึม ไม่ว่าจะบนถนนแบบใดก็ยังคงให้การยึดเกาะ และการตอบสนองที่ดีเยี่ยม ยางประเภทนี้มีราคาที่สูงกว่ายางรถยนต์ประเภทอื่น ซึ่งคุ้มค่ามากทีเดียวกับคุณสมบัติระดับท็อปที่ให้มา ทำให้รถส่วนใหญ่ที่เลือกใช้จะเป็นรถยนต์กลุ่มพรีเมียมคาร์ หรือรถซูเปอร์คาร์ เช่น Mini, Porsche หรือ BMW ซึ่งยี่ห้อที่ Autobacs แนะนำคือ Bridgestone, Michelin หรือ Yokohama
5. ยางรถแบบประหยัดน้ำมัน
ยางรถแบบประหยัดน้ำมันมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยลดแรงเสียดทานขณะที่ล้อหมุน ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องออกแรงมากเพื่อขับเคลื่อนรถ จึงช่วยประหยัดน้ำมันได้ดี และหากได้รับการสลับยางรถเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและถูกต้องก็ไม่ต้องเปลี่ยนยางบ่อยอีกด้วย ซึ่งเหมาะมากกับรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง Eco Car หรือรถยนต์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น Toyota, Nissan March หรือแม้แต่ SUV ก็เช่นกัน โดยยี่ห้อยางรถยนต์ที่ Autobacs แนะนำคือ Michelin, Dunlop หรือ Bridgestone
การสลับยางรถ คืออะไร
การสลับยางรถ คือ การเปลี่ยนตำแหน่งของยางรถยนต์ จากล้อหน้าไปล้อหลัง หรือจากซ้ายไปขวา หรือการทำทั้งสองแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายการสึกหรอของดอกยางให้สมดุลทั่วทุกล้อ และช่วยยืดอายุการใช้งานของยางให้ยาวนานมากขึ้น ขั้นตอนการสลับยางรถจึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็น เพราะยางรถยนต์แต่ละประเภทจะสึกหรอได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการส่งกำลัง พลังงาน และแรงบิดที่เกิดขึ้นกับล้อที่ขับเคลื่อน และขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นล้อหน้า หรือล้อหลัง ดังนั้น การสลับยางจะช่วยให้ยางที่สึกหรอน้อยกว่า หรือยังใหม่มาอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานหนัก จะทำให้ยางทุกเส้นสึกหรอเท่ากัน และใช้งานได้นานขึ้น
การสลับยางรถ มีความสำคัญอย่างไร
การสลับยางรถเป็นวิธีง่ายๆ ซึ่งควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดการสึกหรอที่ไม่เท่ากันที่อาจเกิดจากการขับเคลื่อนล้อหน้า ล้อหลัง การเหยียบเบรก หรือการเข้าโค้ง ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้ยางรถใช้งานได้นานขึ้น โดยยางเส้นที่ดอกยางยังแน่นจะถูกเปลี่ยนมายังตำแหน่งล้อที่ใช้งานหนัก ทำให้ล้อที่ทำงานหนักสามารถเกาะถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการเบรก หรือการเข้าโค้งมีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย เพราะเพียงสลับยางที่ดอกยางยังเหลือเยอะมาอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานหนักแทน ก็สามารถยืดระยะเวลาในการเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่ได้แบบยกเซต แถมยังประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
วิธีการสลับยางรถ มีอะไรบ้าง
แม้ว่าการสลับยางรถนั้นควรทำอย่างสม่ำเสมอ แต่การสลับยางรถนั้นก็ควรได้รับการสลับอย่างถูกต้อง และเหมาะสม เพราะการสลับยางรถนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์ และยางรถยนต์ที่ใช้งานด้วย โดยการสลับยางรถ มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. สลับยางรถขับเคลื่อนล้อหน้า
สำหรับการสลับยางรถของรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้านั้น ส่วนใหญ่จะสลับเอายางรถยนต์คู่หน้าไปไว้ที่คู่หลัง โดยมีวิธีการสลับ ดังนี้
ยางหน้า ซ้าย สลับไป หลัง ซ้าย
ยางหลัง ซ้าย สลับไป หน้า ขวา
ยางหน้า ขวา สลับไป หลัง ขวา
ยางหลัง ขวา สลับไป หน้า ซ้าย
2. สลับยางรถขับเคลื่อนล้อหลัง
สำหรับการสลับยางรถของรถที่ขับเคลื่อนล้อหลังนั้นจะคล้ายๆ กับรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีวิธีการสลับ ดังต่อไปนี้
ยางหลัง ซ้าย สลับไป หน้า ซ้าย
ยางหลัง ขวา สลับไป หน้า ขวา
ยางหน้า ซ้าย สลับไป หลัง ขวา
ยางหน้า ขวา สลับไป หลัง ซ้าย
3. สลับยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
สำหรับรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อนั้น ยางทั้ง 4 เส้นจะมีการสลับตำแหน่งกันทั้งหมด โดยจะสลับยางแบบไขว้ หรือกากบาท โดยวิธีการสลับยางรถ มีดังนี้
ยางหน้า ซ้าย สลับไป หลัง ขวา
ยางหน้า ขวา สลับไป หลัง ซ้าย
ยางหลัง ซ้าย สลับไป หน้า ขวา
ยางหลัง ขวา สลับไป หน้า ซ้าย
4. สลับยางรถสำหรับยางที่มีดอกยางหมุนทิศเดียว
สำหรับรถที่ใช้ยางที่มีดอกยางหมุนทิศทางเดียว หรือยางที่มีลักษณะเป็น V หรือ Z นั้น ไม่สามารถสลับยางจากซ้ายไปขวาได้ เพราะจะทำให้ดอกยางหมุนทิศทางผิด ดังนั้น วิธีการสลับยางรถจึงมีลักษณะดังนี้
ยางหน้า ซ้าย สลับไป หลัง ซ้าย
ยางหน้า ขวา สลับไป หลัง ขวา
5. สลับยางรถที่มียางหน้าและยางหลังไม่เหมือนกัน
สำหรับรถที่มียางหน้า และยางหลังไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นขนาด รูปแบบ หรือแบรนด์ ควรสลับยางเฉพาะในฝั่งเดียวกัน ซึ่งไม่ควรจะสลับไขว้กันไปมา เพราะจะทำให้การขับขี่ไม่สมดุล และเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น วิธีการสลับยางรถของรถประเภทนี้คือ
ยางหน้าซ้าย สลับกับ ยางหน้าขวา
ยางหลังซ้าย สลับกับ ยางหลังขวา
6. สลับยางรถสำหรับใช้ยางอะไหล่
ยางอะไหล่คือยางรถยนต์เส้นที่ 5 ที่ถูกเก็บไว้ในท้ายรถ หรือใต้รถ เพื่อใช้ทดแทนยางเส้นที่มีปัญหา โดยยางอะไหล่มีขนาด และสมรรถนะที่แตกต่างจากยางรถยนต์ปกติ ทั้งในด้านความเร็ว ระยะทาง และการเกาะถนน ดังนั้น การใช้ยางอะไหล่ควรเป็นเพียงชั่วคราว และควรเปลี่ยนยางใหม่ทันทีเมื่อมีโอกาส ซึ่งวิธีการสลับยางรถสำหรับใช้ยางอะไหล่สามารถทำได้ดังนี้
หยุดรถในที่ปลอดภัย และใส่เบรกมือ
หาจุดยกแม่แรงที่เหมาะสม โดยดูจากคู่มือรถยนต์ หรือสัญลักษณ์บนตัวถังรถ
ใช้บล็อกถอดล้อ จากนั้นคลายน็อตล้อออกด้วยการหมุนทวนเข็มนาฬิกา โดยอาจใช้เท้าเหยียบที่บล็อกถอดล้อ เพื่อให้น้ำหนักตัวเป็นแรงดันในการขันน็อตออก
ใช้แม่แรงยกรถให้ลอยขึ้น จนล้อที่ต้องการสลับออกจากพื้น
ถอดล้อออก แล้วใส่ยางอะไหล่เข้าไปแทนที่ยางเส้นเดิม
ขันน็อตใส่ยางอะไหล่เข้าที่เดิม โดยหมุนตามเข็มนาฬิกา
ปล่อยแม่แรงลง และย้ายแม่แรงออก
ใช้บล็อกถอดล้อ ขันน็อตให้แน่นอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
ควรสลับยางรถเมื่อไรจึงจะเหมาะสม
การสลับยางรถควรทำอย่างสม่ำเสมอ และทำให้สอดคล้องกับรูปแบบการหมุนที่ระบุอยู่ในคู่มือการใช้งานรถยนต์ หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิตยาง แต่หลายๆ คนอาจสงสัยว่าควรสลับยางรถยนต์เมื่อไร ซึ่งโดยปกติแล้ว สำหรับรถยนต์ทั่วไปควรสลับยางทุกๆ 6 เดือนหรือทุก 10,000 กิโลเมตร แต่สำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ควรสลับยางทุกๆ 4,000 กิโลเมตร
โดยการสลับยางอาจแตกต่างไปตามการใช้งานของแต่ละคน ดังนั้น ควรตรวจสอบดอกยาง และลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง และสลับยางเมื่อเห็นว่าดอกยางเริ่มสึกหรอไม่เท่ากัน โดยการสลับยางรถนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน หรือจะเลือกใช้บริการอู่ หรือที่ศูนย์บริการก็ได้เช่นกัน แล้วแต่ความสะดวกเลย แต่แนะนำให้ไปหาช่างเพื่อตรวจสอบ และตั้งถ่วงล้อให้ถูกต้อง เพราะบางศูนย์บริการมักจะมีโปรโมชันดีๆ อย่างการสลับยาง หรือถ่วงล้อฟรีนั่นเอง
สลับยางรถแล้วจำเป็นต้องถ่วงล้อหรือไม่
การถ่วงล้อรถยนต์คือการปรับให้ล้อ และยางมีความสมดุลในการหมุน โดยการเพิ่มน้ำหนักถ่วงในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้การถ่วงล้อรถยนต์จำเป็นต้องทำทุกครั้งที่มีการสลับยางรถ เพราะยางที่ถูกสลับตำแหน่งจะมีความสึกหรอของดอกยางไม่เท่ากัน ซึ่งจะทำให้ล้อเต้นขึ้นลง ส่ายไปมา และมีเสียงดังขณะขับรถ ซึ่งการถ่วงล้อรถยนต์จะช่วยให้ล้อหมุนได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการสึกหรอ ประหยัดน้ำมัน และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้อีกด้วย
สรุป
จะเห็นว่าการสลับยางรถ หรือการเปลี่ยนตำแหน่งยางรถยนต์เพื่อกระจายการสึกหรอของดอกยางให้สมดุลทั่วทุกล้อนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งเป็นการบำรุงรักษารถยนต์ง่ายๆ แต่มีประโยชน์มาก เพราะฉะนั้น จึงควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ยางรถยนต์ใช้งานได้นานขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ให้มากขึ้น
หากใครที่กำลังสนใจอยากที่จะสลับยาง แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ขอแนะนำ AUTOBACS ศูนย์บริการรถยนต์มาตรฐานอันดับ 1 จากญี่ปุ่น รับติดตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เติมลมไนโตรเจน ล้างเเอร์รถยนต์ ล้างเบรกรถยนต์ อบโอโซนรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง พร้อมเช็กสภาพรถยนต์ 25 รายการ ฟรี !! อุ่นใจตลอดการเดินทาง