-01.jpg)
รถไฮโดรเจนคืออะไร? เปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า
วันที่เผยแพร่: 18 เม.ย. 2568
Key Takeaway
รถไฮโดรเจน คือรถยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า
รถไฮโดรเจนแตกต่างจากรถไฟฟ้าหลายด้าน เช่น เติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็วกว่าเพียง 3-5 นาที ขณะที่รถไฟฟ้าอาจใช้เวลา 30 นาทีขึ้นไป และยังวิ่งได้ไกล 500-800 กม. ขณะที่รถไฟฟ้าวิ่งได้เพียง 300-600 ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
รถไฮโดรเจน มีข้อดีคือ ไม่มีมลพิษ วิ่งได้ไกล และขับได้ลื่นไหล แต่ต้นทุนการผลิตและบำรุงรักษาสูง ทั้งยังต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เนื่องจากไฮโดรเจนเป็นก๊าซไวไฟ
Autobacs มีบริการดูแลรถครบวงจร ผู้ใช้รถไฮโดรเจนก็สามารถเข้ารับบริการตรวจเช็กสภาพรถ ระบบเซลล์เชื้อเพลิง และประสิทธิภาพการทำงานของรถได้
รถไฮโดรเจน เป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ซึ่งหลายคนอาจยังไม่คุ้นชินหรือเกิดข้อสงสัยว่ารถไฮโดรเจนคืออะไร มีหลักการทำงานแตกต่างจากรถไฟฟ้าอย่างไรบ้าง
ในบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับรถไฮโดรเจนให้มากยิ่งขึ้น พร้อมเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของทั้งสองประเภท เพื่อดูว่าทางเลือกไหนเหมาะกับอนาคตของการเดินทางมากที่สุด
รถไฮโดรเจนคืออะไร? เปิดโลกยานยนต์พลังงานสะอาด
รถไฮโดรเจน คือยานยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยอาศัยกระบวนการทางเคมีเปลี่ยนไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งพลังงานไปขับเคลื่อนมอเตอร์ ทำให้รถสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่มีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศ เพราะไอเสียที่เกิดขึ้นจะมีเพียงไอน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น รถไฮโดรเจนจึงกลายเป็นรถพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถใช้งานได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
เผยหลักการทำงานของรถพลังงานไฮโดรเจน
รถพลังงานไฮโดรเจนมีหลักการทํางาน คือ การเปลี่ยนไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยเมื่อเราเติมไฮโดรเจนเข้าไป เชื้อเพลิงจะถูกนำไปเก็บไว้ในถังแรงดันสูงซึ่งมักติดตั้งอยู่บริเวณใต้ท้องรถหรือด้านหลัง จากนั้นไฮโดรเจนจะถูกส่งเข้าสู่เซลล์เชื้อเพลิงและทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศจนเกิดกระแสไฟฟ้าส่งต่อไปใช้ขับเคลื่อนมอเตอร์เพื่อทำให้รถวิ่งได้
เปรียบเทียบความต่างของรถไฮโดรเจน vs รถยนต์ไฟฟ้า
รถไฮโดรเจนและรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยมลพิษ และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งแม้จะมีวัตถุประสงค์เดียวกัน แต่ทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติด้านการใช้งาน ระยะเวลาเติมพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และค่าใช้จ่าย ที่แตกต่างกัน ตามรายละเอียดต่อไปนี้
หลักการในการขับเคลื่อน
รถไฮโดรเจน ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมอเตอร์
รถยนต์ไฟฟ้า ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยพลังงานที่ได้จะมาจากการชาร์จไฟและกักเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ซึ่งพลังงานที่ได้จะถูกส่งผ่านอินเวอร์เตอร์ไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์
สถานีเติมพลังงาน
รถไฮโดรเจน ต้องเติมเชื้อเพลิงที่สถานีเติมไฮโดรเจนโดยเฉพาะ ซึ่งยังมีจำนวนจำกัดและกระจายตัวไม่ทั่วถึง ทำให้การเดินทางข้ามจังหวัดหรือเดินทางไกลอาจไม่สะดวกเท่าที่ควร
รถยนต์ไฟฟ้า สามารถชาร์จได้ที่สถานีชาร์จ EV ที่มีอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมทั้งปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และจุดจอดรถต่างๆ ทั้งยังสามารถชาร์จที่บ้านได้อีกด้วย
เวลาที่ใช้ในการเติมพลังงาน
รถไฮโดรเจน ใช้เวลาเติมเชื้อเพลิงเพียง 3-5 นาที เท่านั้น ซึ่งคล้ายกับการเติมน้ำมันในรถทั่วๆ ไป
รถยนต์ไฟฟ้า ใช้เวลาชาร์จขึ้นอยู่กับประเภทของที่ชาร์จ เช่น DC Fast Charge ประมาณ 30-45 นาที AC Normal Charge ประมาณ 6-12 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับกำลังไฟและความจุแบตเตอรี่)
ระยะทางในการขับ
รถไฮโดรเจน สามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 500-800 กิโลเมตร ต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง
รถยนต์ไฟฟ้า ระยะทางการวิ่งขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300-600 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
ค่าใช้จ่ายสำหรับการบำรุงรักษา
รถไฮโดรเจน ระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นเทคโนโลยีใหม่ การซ่อมบำรุงจึงอาจมีความซับซ้อนและอะไหล่บางชิ้นยังหายาก ทำให้ค่าซ่อมบำรุงรักษาโดยรวมสูงกว่ารถยนต์ประเภทอื่น
รถยนต์ไฟฟ้า ค่าซ่อมบำรุงอาจสูงเช่นกันหากมีการชำรุดเสียหายที่แบตเตอรี่ แต่หากเป็นการบำรุงรักษาทั่วไปจะมีราคาที่ต่ำกว่ารถไฮโดรเจน เนื่องจากมีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลน้อยกว่า
ข้อดีและข้อเสียของรถพลังงานไฮโดรเจนที่ควรพิจารณา
สำหรับผู้ที่กำลังสนใจอยากใช้รถพลังงานไฮโดรเจน ควรศึกษาข้อดีและข้อเสียของรถประเภทนี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนี้
ข้อดีของรถไฮโดรเจน
รถไฮโดรเจนมีข้อดีหลายประการที่เป็นจุดเด่นทำให้รถประเภทนี้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ดังนี้
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ฝุ่นละออง หรือมลพิษทางอากาศ จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพอากาศโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เติมเชื้อเพลิงได้รวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 3-5 นาที ในการเติมไฮโดรเจนเต็มถัง ซึ่งเร็วกว่าการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และค่อนข้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน
วิ่งได้ระยะทางไกล สามารถเดินทางได้ 500-800 กิโลเมตรต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง ซึ่งใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ช่วยให้การเดินทางต่อเนื่อง ลดความถี่ในการเติมเชื้อเพลิง และเพิ่มความคุ้มค่ามากขึ้นอีกด้วย
ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ราบรื่น เนื่องจากใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเช่นเดียวกับรถ EV ทำให้การขับขี่มีความเงียบ ลื่นไหล และนุ่มนวลมากขึ้น
ข้อเสียของรถไฮโดรเจน
แม้ว่ารถพลังงานไฮโดรเจนจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อเสียอยู่หลายด้านที่ควรรู้ ดังนี้
สถานีเติมไฮโดรเจนยังมีน้อย เนื่องจากรถไฮโดรเจนยังไม่แพร่หลาย ความต้องการใช้งานจึงยังน้อย เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้การขยายสถานีเติมเชื้อเพลิงไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาคเอกชนและผู้ลงทุนยังไม่สนใจสร้างสถานีเติมไฮโดรเจนมากนัก
ต้นทุนสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า ระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนซับซ้อนและเป็นเทคโนโลยีใหม่ อะไหล่หายากและต้องการช่างผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ต้นทุนของรถไฮโดรเจนยังสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
ต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูง ไฮโดรเจนเป็นก๊าซไวไฟ จำเป็นต้องจัดเก็บภายใต้แรงดันสูงและมีระบบป้องกันการรั่วซึมเพื่อความปลอดภัยในการจัดเก็บ ขนส่ง และใช้งาน
ต้องตรวจสอบกระบอกสูบเป็นประจำ เนื่องจากถังเก็บไฮโดรเจนต้องอยู่ภายใต้แรงดันสูง จึงจำเป็นต้องตรวจสอบบอกสูบ และบำรุงรักษาเป็นระยะ เพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือเสื่อมสภาพที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานได้
สรุป
รถไฮโดรเจน เป็นยานยนต์พลังงานสะอาดที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขับเคลื่อน ซึ่งต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรง โดยข้อดีของรถไฮโดรเจนคือสามารถเติมเชื้อเพลิงได้อย่างรวดเร็ว วิ่งได้ไกล และปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ แต่อาจมีข้อกำจัดด้านสถานีเติมเชื้อเพลิงที่ยังมีน้อย และต้องตรวจสอบกระบอกสูบเป็นประจำเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
สำหรับใครที่ใช้รถพลังงานไฮโดรเจนและต้องการตรวจเช็กสภาพรถยนต์ สามารถเลือกใช้บริการ Autobacs ศูนย์บริการดูแลรถยนต์ครบวงจร ซึ่งมีบริการตรวจสอบระบบเซลล์เชื้อเพลิง กระบอกสูบ และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์ยังคงประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่ในทุกเส้นทาง