
เติมลมยางเท่าไรดี ให้ขับขี่ปลอดภัยในทุกเส้นทาง
วันที่เผยแพร่: 15 พ.ค. 2568
Key Takeaway
การเติมลมยางรถยนต์อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ช่วยให้รถทรงตัวดี เบรกมั่นใจ ประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานของยางได้ยาวนานยิ่งขึ้น
สำหรับการเติมลมรถเก๋งขนาดเล็กควรเติม 25 - 30 PSI , รถเก๋งขนาดกลางควรเติม 32-34 PSI, รถ SUV ขนาดกลางควรเติมที่ 33-35 PSI, รถ SUV ขนาดใหญ่ควรเติมที่ 33-36 PSI, รถกระบะไม่บรรทุกควรเติม 35-40 PSI, รถกระบะบรรทุกควรเติม 35-50 PSI, รถตู้ควรเติม 40-50 PSI
หากเติมลมยางรถยนต์อ่อนเกินไป อาจทำให้ดอกยางสึกเร็ว เครื่องยนต์ทำงานหนัก เสี่ยงยางระเบิด และสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นได้ ขณะเดียวกันหากเติมลมยางรถยนต์แข็งเกินไป ก็จะทำให้ยางยึดเกาะถนนน้อยลง เบรกไม่ดี ขับขี่กระด้าง และดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอได้เช่นกัน
การเติมลมยางอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ความเป็นจริงแล้วถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งประสิทธิภาพของรถ การประหยัดน้ำมัน รวมถึงความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารตลอดเส้นทาง เพราะหากแรงดันลมยางมากหรือน้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและทำให้ยางสึกหรอได้เร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นการเติมลมยางให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ ไม่ว่าคุณจะใช้รถเก๋ง รถกระบะ หรือ SUV บทความนี้จะพาทุกคนไปเช็กให้ชัวร์ว่าควรเติมลมยางเท่าไรดีเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและเพิ่มความมั่นใจได้ในทุกเส้นทาง
ทำไมต้องเติมลมยางรถยนต์ให้ถูกต้อง
การเติมลมยางรถยนต์ให้ถูกต้องตามค่ามาตรฐาน สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้หลายด้าน ดังนี้
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและควบคุมรถ เพราะลมยางที่อยู่ในระดับเหมาะสมช่วยให้รถทรงตัวดี เข้าโค้งมั่นคง ควบคุมพวงมาลัยได้แม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับขี่ด้วยความเร็วหรือเจอสภาพถนนที่ไม่เรียบ
ช่วยให้เบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อยางมีแรงดันที่เหมาะสม พื้นที่สัมผัสกับถนนจะสมดุลช่วยให้แรงเบรกกระจายได้ทั่วถึงลดระยะเบรกและเพิ่มความปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้มากยิ่งขึ้น
ช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง การเติมลมยางที่ถูกต้องช่วยให้ยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอ ไม่เกิดการสึกเฉพาะจุด และทำให้ยางใช้งานได้นานยิ่งขึ้น
ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าลมยางเหมาะสมจะช่วยลดแรงต้านทานการหมุนของล้อ ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปและส่งผลให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
ช่วยลดความเสียหายต่อระบบช่วงล่าง เมื่อยางทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จะช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือน ลดภาระต่อโช้กอัพ ลูกปืนล้อ และระบบช่วงล่างโดยรวมได้
ค่าลมยางมาตรฐานของรถแต่ละประเภท ควรเติมเท่าไร
รถแต่ละประเภทมีขนาด น้ำหนัก และลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน ส่งผลให้ค่าลมยางมาตรฐานแตกต่างกันไปด้วย เพื่อให้การขับขี่เป็นไปอย่างปลอดภัย นุ่มนวล ประหยัดน้ำมัน และลดการสึกหรอของยางได้มากที่สุด โดยค่าลมยางมาตรฐานที่เหมาะสมกับรถแต่ละประเภท มีดังนี้
1. เติมลมรถเก๋ง หรือรถยนต์ขนาดเล็ก
รถเก๋งหรือรถยนต์ขนาดเล็ก เช่น Eco Car หรือ City Car เป็นรถที่มีน้ำหนักเบาและเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ค่าการเติมลมรถเก๋งที่เหมาะสมจึงจะอยู่ที่ประมาณ 25 - 30 PSI โดยมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการตัดสินใจว่ารถเก๋งควรเติมลมเท่าไร ดังนี้
25 - 30 PSI สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
32 PSI หากต้องเดินทางไกล หรือบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระมาก
2. เติมลมยางรถยนต์ขนาดกลาง
รถยนต์ขนาดกลาง เช่น รถซีดาน 4 ประตู หรือรถครอบครัวทั่วไป มักมีขนาดและน้ำหนักมากกว่ารถเก๋งขนาดเล็ก จึงต้องใช้แรงดันลมยางที่สูงขึ้นเล็กน้อย โดยค่าเติมลมยางรถยนต์ที่แนะนำ คือ
32 PSI สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
33 -34 PSI หากต้องเดินทางไกลหรือบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระมาก
3. เติมลมยางรถ SUV ขนาดกลาง
รถ SUV ขนาดกลาง เช่น Toyota Corolla Cross, Honda CR-V หรือ Mazda CX-5 มักถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานทั้งในเมืองและเดินทางไกล ซึ่งค่าเติมลมยางรถยนต์ที่แนะนำ คือ
33 PSI สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
34 -35 PSI หากต้องเดินทางไกล หรือบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระมาก
4. เติมลมยางรถ SUV ขนาดใหญ่
รถ SUV ขนาดใหญ่ หรือรถครอบครัว 7-10 ที่นั่ง เช่น Toyota Fortuner, Mitsubishi Pajero Sport, Ford Everest หรือรถ MPV ขนาดใหญ่ มักมีน้ำหนักตัวมากและรองรับผู้โดยสารหลายคน พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระกว้าง ค่าลมยางที่แนะนำจึงอยู่ที่ประมาณ 33 – 36 PSI โดยมีคำแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้
33 - 35 PSI ทั้ง 4 ล้อ สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
36 PSI หากต้องเดินทางไกล หรือบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระมาก
5. เติมลมยางรถกระบะ (ไม่บรรทุก)
รถกระบะที่ใช้งานทั่วไปโดยไม่มีการบรรทุกสิ่งของหนัก เช่น รถกระบะสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือขับขี่ในเมืองเป็นหลัก มีค่าเติมลมรถกระบะที่แนะนำ ดังนี้
35 PSI ทั้ง 4 ล้อ ในกรณีที่ไม่บรรทุกของและขับขี่บนถนนเรียบ
37 – 40 PSI หากต้องการความมั่นคงหรือขับทางไกล โดยเฉพาะล้อหลังที่แม้ไม่มีการบรรทุกของแต่ก็ต้องรับแรงกระแทกจากสภาพถนนที่ไม่ดี
6. เติมลมยางรถกระบะ (บรรทุก)
รถกระบะที่ใช้งานในการบรรทุกสิ่งของ เช่น วัสดุก่อสร้าง สินค้า หรือสัมภาระจำนวนมาก จำเป็นต้องเติมลมรถกระบะให้มากกว่ารถที่ไม่ได้บรรทุกเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและรักษาสมดุลของรถ โดยเฉพาะที่ล้อหลังซึ่งต้องรับภาระมากกว่า โดยค่าลมยางที่แนะนำ คือ
ล้อหน้าประมาณ 35 – 40 PSI
ล้อหลังประมาณ 40 – 50 PSI ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของที่บรรทุก
7. เติมลมยางรถตู้
รถตู้ เช่น Toyota Commuter, Hyundai H-1 หรือรถตู้โดยสารทั่วไปมักใช้ในการรับส่งผู้โดยสารจำนวนมาก หรือบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ จึงต้องการค่าลมยางที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปเพื่อรองรับน้ำหนักและเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ โดยค่าลมยางที่แนะนำ คือ
ล้อหน้าประมาณ 40 – 45 PSI
ล้อหลังประมาณ 45 – 50 PSI โดยเฉพาะเมื่อต้องบรรทุกเต็มคัน
ลมยางอ่อน-ลมยางแข็งเกินไป ส่งผลอย่างไรต่อการขับขี่
แรงดันลมยางที่ไม่เหมาะสมไม่ว่าจะอ่อนหรือแข็งเกินไปล้วนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการขับขี่โดยตรง ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในระยะยาวได้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ลมยางอ่อน
การเติมลมยางรถยนต์อ่อนเกินไปจะทำให้ยางแบกรับน้ำหนักได้ไม่เต็มที่ และส่งผลเสียในหลายด้าน ดังนี้
ยางเกิดความร้อนสะสมมากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการระเบิดเมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว
หน้ายางสัมผัสถนนมากเกินไป ทำให้ดอกยางสึกได้เร็วโดยเฉพาะบริเวณไหล่ยาง
รถทรงตัวไม่ดี โดยเฉพาะขณะเข้าโค้งหรือเจอลมแรง อาจทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น
เพิ่มแรงต้านทานในการหมุนล้อ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองน้ำมัน
ขับขี่ไม่นุ่มนวล รู้สึกหนืดหรือล้อลากบนถนนขรุขระมากกว่าปกติ
ขับขี่ไม่มั่นคง รถอาจโยนหรือโคลงเมื่อต้องเปลี่ยนเลนหรือเจอแรงลมด้านข้าง
ลมยางแข็ง
การเติมลมยางรถยนต์แข็งเกินไป แม้จะดูเหมือนช่วยประหยัดน้ำมัน แต่กลับส่งผลเสียต่อการขับขี่และอายุการใช้งานของยาง ดังนี้
หน้ายางสัมผัสถนนไม่เต็มที่ ทำให้ยึดเกาะได้ไม่ดีโดยเฉพาะขณะเบรกหรือเข้าโค้ง
ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอ โดยมักสึกบริเวณกลางหน้ายางเร็วกว่าขอบยาง
ลดประสิทธิภาพการเบรก โดยเฉพาะบนถนนลื่นหรือเปียก และเสี่ยงต่อการลื่นไถล
ขับขี่กระด้าง รับแรงสะเทือนจากพื้นถนนมากขึ้น ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายขณะนั่ง
เร่งการสึกหรอของชิ้นส่วนช่วงล่าง เช่น ลูกหมาก โช้กอัพ และระบบกันสะเทือน เนื่องจากต้องรับแรงกระแทกมากกว่าปกติ
วิธีเช็กลมยางง่ายๆ ทำได้ใน 5 นาที
การตรวจสอบแรงดันลมยางสามารถทำได้ด้วยตนเองเพียงไม่กี่นาที ซึ่งหากทำเป็นประจำจะช่วยให้รถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ยืดอายุยาง และประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
เตรียมอุปกรณ์วัดแรงดันลมยาง (เกจวัดลมยาง) ควรใช้เกจวัดลมยางที่ได้มาตรฐานเพื่อให้
ค่าที่แม่นยำ โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบเข็ม แบบแท่ง หรือแบบดิจิทัล หรือใช้บริการเครื่องวัดลมยางที่มีให้บริการตามปั๊มน้ำมันทั่วไป ซึ่งแบบอัตโนมัติพร้อมจอแสดงผลแรงดันให้ใช้งานได้สะดวก
เช็กลมยางขณะยางเย็น ควรวัดแรงดันลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือหลังจากจอดรถไว้
ประมาณ 2–3 ชั่วโมง โดยยังไม่เริ่มขับขี่ เนื่องจากเมื่อยางร้อนจากการใช้งานจะทำให้ลมภายในขยายตัว ส่งผลให้ค่าแรงดันสูงกว่าความเป็นจริงและอาจทำให้เข้าใจค่าที่คาดเคลื่อนได้
ตรวจสอบแรงดันจากจุกลมยาง นำเกจวัดลมยางกดลงบนจุกให้แนบสนิทและรอจนเกจ
แสดงผลแรงดันแล้วอ่านค่าที่ปรากฏบนหน้าปัดหรือหน้าจอ หากใช้เกจแบบดิจิทัล ค่าแรงดันจะขึ้นแบบตัวเลขชัดเจน ส่วนเกจแบบเข็มหรือแท่ง ควรอ่านจากตำแหน่งที่เข็มหรือแท่งชี้ค่าที่ได้
เปรียบเทียบค่ากับค่ามาตรฐานรถของคุณ ควรเปรียบเทียบกับค่าที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ ดู
ได้จากคู่มือประจำรถ ป้ายสติกเกอร์ โดยค่าที่ระบุจะเป็น PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) หากค่าที่วัดได้ต่ำหรือสูงกว่าค่ามาตรฐาน ควรเติมลมยางรถยนต์หรือลดลมยางให้เหมาะสม เพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และความปลอดภัยขณะเดินทาง
ตรวจสอบครบทั้ง 4 ล้อ (รวมถึงยางอะไหล่) การเช็กลมยางควรทำให้ครบทุกล้อ เพราะแรง
ดันลมอาจแตกต่างกันระหว่างแต่ละล้อส่งผลต่อการทรงตัวของรถ รวมถึงยางอะไหล่ที่ต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ควรเช็กลมยางบ่อยแค่ไหน?
การเช็กลมยางควรทำอย่างน้อยเดือนละ 1–2 ครั้ง หรือทุกครั้งก่อนออกเดินทางไกลเพื่อให้แรงดันลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสมสม่ำเสมอ ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานของยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
FAQ (People Also Ask)
ควรเติมลมยางตอนรถร้อนหรือเย็น?
การเติมลมยางรถยนต์ควรทำในขณะที่ยางยังเย็นอยู่เพื่อให้ได้ค่าแรงดันที่แม่นยำ เนื่องจากเมื่อยางร้อน อุณหภูมิภายในจะสูงขึ้นทำให้ลมขยายตัวและส่งผลให้ค่าที่วัดได้สูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจทำให้เติมลมไม่เพียงพอและกระทบต่อประสิทธิภาพการขับขี่ในระยะยาวได้
เติมลมยางเกิน ควรทำอย่างไร?
หากเติมลมยางเกินกว่าค่าที่กำหนดให้ใช้เกจวัดลมยางค่อยๆ ปล่อยลมออกจนได้แรงดันตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในคู่มือรถหรือป้ายข้างประตู เพื่อป้องกันการสึกหรอและรักษาสมรรถนะการขับขี่ให้ปลอดภัยสูงสุดตลอดเส้นทาง
สรุป
การเติมลมยาง ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ หรือรถ SUV ควรเติมให้ถูกต้องตามค่าที่ผู้ผลิตรถแนะนำ เพื่อให้รถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ทรงตัวดี เบรกมั่นใจ และประหยัดน้ำมัน ทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้อีกด้วย นอกจากนี้ ควรเช็กลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1–2 ครั้ง หรือก่อนเดินทางไกลทุกครั้งเพื่อให้แรงดันลมอยู่ในระดับมาตรฐาน ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และเพิ่มความมั่นใจได้มากยิ่งขึ้นในทุกเส้นทาง
แต่หากคุณไม่มั่นใจในการเช็กลมยาง เปลี่ยนยางคุณภาพจากแบรนด์ชั้น ที่ Autobacs พร้อมให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งยังมีบริการและเครื่องมือที่ครบครันในที่เดียว!