Picture of the author
autobacsautobacs
autobacs

ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? วิธีเช็กอายุยางรถยนต์


วันที่เผยแพร่: 15 พ.ค. 2568

แชร์ไปยัง

Key Takeaway

  • อายุการใช้งานยางรถยนต์เฉลี่ย 5-6 ปี นับจากวันผลิต แม้ไม่ได้ใช้งานยางก็สามารถเสื่อมสภาพได้

  • ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ คือสภาพถนน อากาศ พฤติกรรมการขับขี่ แรงดันลมยาง การบรรทุก และการดูแล ทั้งหมดล้วนมีผลต่อการทำให้ยางสึกหรอ

  • หากไม่เปลี่ยนยางรถยนต์อาจทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ควบคุมรถได้ยากขึ้น เสี่ยงต่อยางระเบิด และอาจต้องจ่ายค่าซ่อมเพิ่มได้

  • วิธีเช็กยางรถยนต์ จะต้องตรวจดูรหัส DOT บนแก้มยาง ตัวเลข 4 หลักสุดท้ายบอกสัปดาห์และปีที่ผลิต เช่น 1521 = สัปดาห์ 15 ปี 202



ยางรถยนต์คือหนึ่งในชิ้นส่วนที่ให้ความปลอดภัยในการขับขี่ แต่หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปีกันแน่? และจะรู้ได้อย่างไรว่ายางที่ใช้อยู่ใกล้หมดสภาพแล้วหรือยัง? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเรื่องอายุการใช้งานยางรถยนต์ตามมาตรฐานสากล พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบอายุยางรถยนต์ที่ถูกต้อง และสัญญาณเตือนต่างๆ ที่บอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่เพื่อความปลอดภัย

ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? อายุการใช้งานมาตรฐานของยางรถยนต์

ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? โดยทั่วไป อายุการใช้งานของยางรถยนต์อยู่ที่ 5-6 ปี นับจากวันที่ผลิต แม้ว่ายางจะยังดูใหม่หรือไม่สึกหรอ แต่เมื่อถึงอายุที่กำหนด โครงสร้างภายในยางอาจเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจทำให้ยางระเบิดหรือประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

หากรถจอดทิ้งไว้นานหรือใช้งานน้อยก็ไม่ได้หมายความว่ายางจะอยู่ได้นานขึ้น โดยผู้ผลิตยางแนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์ภายใน 6 ปี หลังจากวันที่ผลิต และหากใช้งานหนักหรือขับในสภาพถนนสมบุกสมบัน ควรพิจารณาเปลี่ยนยางรถยนต์ภายในช่วง 3-4 ปี แม้ดอกยางยังดีอยู่ก็ควรเปลี่ยนเพื่อความปลอดภัย

ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานของยาง

แม้อายุยางรถยนต์จะมีค่ามาตรฐานที่ใช้เป็นแนวทาง แต่ในความเป็นจริงยางแต่ละเส้นอาจเสื่อมสภาพเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานและสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งก็ยังคงมีคำถามว่ายางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? มาดูปัจจัยต่อไปนี้ล้วนมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานยางรถยนต์ที่เจ้าของรถควรใส่ใจ ได้แก่

  • สภาพถนนและสภาพอากาศ ยางที่ใช้งานบนถนนขรุขระ เต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือมีเศษวัสดุ

แหลมคม อาจสึกหรอหรือเกิดความเสียหายได้เร็วกว่ายางที่วิ่งบนถนนเรียบ ส่วนสภาพอากาศ เช่น ความร้อนจัด ฝนตกบ่อย หรือรังสี UV จากแดดจ้า ก็สามารถเร่งการเสื่อมสภาพของเนื้อยางได้เช่นกัน

  • พฤติกรรมการขับขี่ การเร่งความเร็วกระชั้น เบรกแรง หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ล้วนสร้าง

แรงเสียดทานที่มากกว่าปกติ ทำให้ยางสึกเร็ว เกิดการฉีกขาด หรือความร้อนสะสมในเนื้อยางมากเกินไป ซึ่งจะลดอายุการใช้งานยางรถยนต์ลงอย่างเห็นได้ชัด

  • แรงดันลมยาง การเติมลมยางไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นลมน้อยเกินไปหรือมากเกินไป ต่างก็

ทำให้การสึกหรอของยางไม่สม่ำเสมอ ลมยางอ่อนจะทำให้แก้มยางบวมและร้อน ส่วนลมยางแข็งเกินไปจะทำให้หน้าสัมผัสน้อยลงและยางสึกตรงกลาง ส่งผลต่อความปลอดภัยและอายุยางรถยนต์ได้

  • การบรรทุกน้ำหนัก หากรถต้องรับน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนดบ่อยครั้ง เช่น บรรทุกของหนัก

หรือมีผู้โดยสารจำนวนมาก จะทำให้ยางแบกรับภาระเพิ่มขึ้น เกิดความร้อนสูงและยางสึกหรอเร็วกว่าปกติ จนอาจระเบิดกลางทางได้ในบางกรณี

  • การดูแลรักษา การไม่หมุนยางตามระยะ ไม่ตั้งศูนย์ล้อ ไม่ถ่วงล้อ หรือปล่อยให้มีเศษหินติด

ในร่องยาง สามารถทำให้ยางสึกไม่เท่ากัน เกิดเสียงรบกวน และลดอายุการใช้งานยางรถยนต์โดยรวมได้อย่างมาก

เช็ก 5 สัญญาณ ที่บอกว่าควรเปลี่ยนยางรถยนต์

แม้ว่ายางรถยนต์จะยังไม่ถึงอายุการใช้งานที่กำหนด แต่หากมีสภาพไม่สมบูรณ์หรือเกิดความเสียหายบางอย่างก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ก่อนกำหนดเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะหากพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ ควรรีบตรวจสอบหรือเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที

1. ดอกยางสึกหรอ

ดอกยางเป็นส่วนที่ช่วยในการยึดเกาะถนน หากดอกยางสึกจนตื้นกว่าระดับที่กำหนดจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกและรีดน้ำลดลงเสี่ยงต่อการลื่นไถล วิธีเช็กง่ายๆ คือสังเกตจากแถบสะท้อนแสงหรือตัวบ่งชี้ความลึกของดอกยาง (Tread Wear Indicator) ซึ่งเป็นปุ่มนูนเล็กๆ อยู่ในร่องดอกยางหากระดับดอกยางเรียบเท่าปุ่มแสดงว่าควรเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที

2. รอยแตกลายงาบนหน้ายาง

รอยแตกลายงาเกิดจากยางเสื่อมสภาพตามกาลเวลาทำให้เนื้อยางแห้งและสูญเสียความยืดหยุ่น หากปล่อยไว้จะเสี่ยงต่อการรั่วซึมหรือระเบิด วิธีเช็กคือการสังเกตด้วยตาเปล่าบริเวณหน้ายางและแก้มยาง หากพบรอยแตกเล็กๆ คล้ายรอยแห้งแตกเป็นเส้นละเอียดบนพื้นผิวถือเป็นสัญญาณเตือนว่ายางรถยนต์เริ่มหมดอายุการใช้งานแล้ว

3. ยางบวม หรือผิดรูป

ยางที่มีรอยบวม นูน หรือผิดรูป อาจเกิดจากโครงสร้างภายในยางเสียหาย เช่น การขับตกหลุมแรงๆ หรือกระแทกอย่างรุนแรง ซึ่งสามารถเช็กได้จากการลูบมือไปตามผิวยางหรือสังเกตด้วยตาเปล่า หากพบจุดนูนโป่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยควรหยุดใช้งานทันที เพราะเสี่ยงต่อการระเบิดสูง

4. รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนผิดปกติ

หากขณะขับขี่รู้สึกว่ารถมีอาการสั่นผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วคงที่ อาจเป็นสัญญาณว่ายางสึกไม่เท่ากันหรือเกิดปัญหาในการสมดุลของล้อ สังเกตได้จากพวงมาลัยสั่นหรือมีแรงสั่นสะเทือนส่งมาที่ตัวรถอย่างชัดเจน ควรนำรถเข้าตรวจสอบทันทีเพราะนอกจากจะกระทบต่อความสบายในการขับ เพราะส่งผลต่ออายุของยางรถยนต์และชิ้นส่วนช่วงล่างด้วย

5. อายุของยางเกิน 5-6 ปี

แม้สภาพภายนอกจะดูดีแต่ยางที่มีอายุเกิน 5-6 ปี ตามมาตรฐานผู้ผลิตก็ถือว่าเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพภายใน วิธีเช็กอายุยางสามารถดูได้จากรหัส DOT บนแก้มยาง โดยสังเกตเลข 4 หลักสุดท้าย เช่น 3520 หมายถึงผลิตในสัปดาห์ที่ 35 ของปี 2020 หากพบว่ายางผลิตเกิน 5-6 ปีแล้ว ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ทันทีแม้ยังไม่ได้ใช้งานบ่อย

ถ้าหากไม่เปลี่ยนยางจะเป็นอย่างไร?

การใช้งานยางรถยนต์ที่หมดสภาพหรือเสื่อมคุณภาพไปแล้วอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายด้านทั้งในด้านความปลอดภัย การควบคุมรถ และค่าใช้จ่ายในระยะยาว ผู้ขับขี่ควรตระหนักถึงผลกระทบที่อาจตามมาหากยังคงใช้ยางเก่าโดยไม่เปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ตามระยะที่เหมาะสม โดยสามารถแบ่งผลกระทบหลักๆ ได้ดังนี้

ประสิทธิภาพการเบรกลดลง

อายุยางรถยนต์ที่หมดสภาพจะมีดอกยางที่สึก ตื้น หรือแข็งกระด้าง ทำให้แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับพื้นถนนลดลง ส่งผลให้ระยะเบรกยาวขึ้น โดยเฉพาะในขณะฝนตกหรือถนนลื่น โอกาสที่รถจะลื่นไถลหรือหยุดไม่ทันมีสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุโดยตรง

เสี่ยงต่อการระเบิดของยาง

ยางรถยนต์ที่หมดอายุหรือมีโครงสร้างภายในเสื่อมสภาพแล้วอาจเกิดการบวม อ่อนตัว หรือแตกลายงา หากขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือขณะบรรทุกหนักยางอาจไม่สามารถทนต่อแรงดันและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้ยางระเบิดกลางทางหรือเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ในทันที

ประสิทธิภาพการควบคุมลดลง

เมื่อยางเสื่อมสภาพพื้นผิวของยางจะยึดเกาะถนนได้ไม่ดีเท่าเดิม โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน รถอาจสูญเสียการทรงตัวหรือไม่ตอบสนองต่อการบังคับทิศทางอย่างที่ควรจะเป็นทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย

แม้จะดูเหมือนเป็นการประหยัดเงินในระยะสั้น แต่การไม่เปลี่ยนยางที่เสื่อมสภาพอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าในระยะยาว เช่น ค่าซ่อมช่วงล่างจากการสั่นสะเทือน ค่าซ่อมล้อแม็กที่ได้รับแรงกระแทก รวมถึงค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด

วิธีเช็กวันผลิตและวันหมดอายุยางรถยนต์

ยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? ต้องตรวจสอบวันผลิตของยางรถยนต์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินอายุการใช้งานของยางรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถตรวจสอบได้จากรหัส DOT (Department of Transportation) ที่พิมพ์อยู่บนแก้มยาง ซึ่งเป็นรหัสที่บ่งบอกข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ผลิตและวันที่ผลิตของยางเส้นนั้นๆ โดยมีวิธีเช็กวันผลิตยางง่ายๆ ดังนี้

  • มองหารหัสตัวอักษรขึ้นต้นว่า “DOT” บนแก้มยาง

  • ดูเลข 4 หลักสุดท้าย ที่อยู่ถัดจากอักษร DOT เช่น รหัส “DOT X0 4U 3522” หมายความว่า ยางผลิตใน สัปดาห์ที่ 35 ของปี 2022

  • ตัวเลข 2 หลักแรก หมายถึงสัปดาห์ที่ผลิต (01–52)

  • ตัวเลข 2 หลักหลัง หมายถึงปีที่ผลิต (เช่น 22 = ปี 2022)

การนับวันหมดอายุของยาง

  • โดยทั่วไป อายุการใช้งานยางรถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 5-6 ปีนับจากวันผลิต

  • แม้ยางยังไม่ถูกใช้งาน แต่หากเก็บไว้นานโดยไม่ได้ติดตั้ง ก็ถือว่าเริ่มเสื่อมสภาพได้เช่นกัน

สรุป

สรุปคำถามยางรถยนต์ใช้ได้กี่ปี? ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 5-6 ปี โดยขึ้นอยู่กับสภาพถนน พฤติกรรมการขับขี่ การดูแลรักษา และแรงดันลมยาง การไม่เปลี่ยนยางตามระยะอาจทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกและควบคุมรถลดลง เสี่ยงต่อการระเบิด และเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ผู้ใช้รถจึงควรหมั่นตรวจสอบดอกยาง รอยแตก ยางบวม และเช็กวันผลิตจากรหัส DOT บนแก้มยางอย่างสม่ำเสมอ

หากคุณกำลังมองหายางรถยนต์ใหม่หรือบริการเปลี่ยนยางรถยนต์ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ แนะนำ Autobacs ที่ให้บริการยางมาตรฐาน พร้อมเครื่องมือและบริการที่ครบครัน เช่น บริการถ่วงล้อ ตั้งศูนย์ และตรวจสอบแรงดันลมยาง เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ในทุกการเดินทางของคุณ

autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autiobacs-photos
autobacsสาระน่ารู้อื่นๆ

E-mail

Call Center

autobacs-contact

LINE Official

autobacs-line

Messenger

autobacs-messenger
to-top